ต่อครับ
หน้ารายงานแบบที่ 2 นี้ มีดีกรีของปัญหาที่ตรวจเจอในระดับที่ ปานกลางแต่ซื้อหุ้นได้ไม่เจ็งหรอก หน้ารายงานแบบนี้ เหมือนกับ หนุ่มไม่หล่อแต่รวย(Not Perfect) จะมีข้อความดังนี้
เหมือนแบบที่ 1 ทั้งหมดเลยโครงสร้าง คือเอา 3 วรรค มา แล้วแทรก วรรคอย่างน้อยอีก 1 วรรค รวมความได้ว่าหน้ารายงานฯ แบบที่ 2 นี้ มีวรรคทั้งหมดรวมกันอย่างน้อย 4 วรรคโดยแบ่งเป็น กรณีต่างๆตามอาการของปัญหา คราวๆ
1. มีการเน้นข้อมูลและเหตุกาณ์ที่มีสาระสำคัญ เช่นเปลี่ยนนโยบายทางบัญชี หรือ กิจการบันทึกบัญชีผิดหลักการทางบัญชีและกระทบกับตัวเลขในงบการเงิน
2. กรณีมีเหตุการณ์ความไม่แน่นอนเช่น มีคดีฟ้องร้องเรื่องคาฯอยู่ หรือ ว่าขาดทุนสะสมเยอะ
3. กรณีขอบเขตการตรวจสอบถูกจำกัด เ่ช่นไม่ได้นับสต๊อกสินค้าคงเหลือสิ้นปีเป็นต้น
4. กรณีมีความขัดแย้งกับผู้บริหาร
รายงานของผู้สอบบัีญชีรับอณุญาต
เสนอ ……..
ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบงบดุล (1) วรรคนำ ……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
ยกเว้นที่จะกล่าวในวรรคถัดไป ข้าพเจ้าได้ปฎิบัติฯ (2) วรรคขอบเขต……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
(4) วรรคอภิบาย จะระบุถึงสาเหตุ หรือเหตุผลของกามีเงื่อนไขไว้พร้อมผลกระทบที่มีต่องบการเงิน(ถ้าสามารถระบุจำนวนเงินได้) และอาจอ้างถึงหมายเหตุประกอบงบการเงินข้อที่เกี่ยวข้อง ………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
ข้าพเจ้าเห็นว่า ยกเว้นผลของรายการปรับปรุงซึ่งอาจจำเป็น ถ้าข้าพเจ้าสามารถฯ………………………………………… งบการเงินข้างต้นนี้ (3) วรรคแสดงความเห็น……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
วรรคถัดไปต่อจากวรรค (3) นี้เป็นวรรคที่เรียกว่าเป็นวรรคเสริม โดยจะเน้นข้อมูลและเหตุการณ์ ที่ผู้สอบได้ตั้งข้อสังเกตุ และ มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งบการเงิน
ตัวอย่างหน้ารายงานผู้สอบแบบที่ 2 นี้
เสนอ ผู้ถือหุ้นของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน)
ข้าพเจ้าได้ตรวจสอบงบดุลรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 และ 2550 และงบกำไรขาดทุนรวม งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้นรวม และงบกระแสเงินสดรวมสำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันเดียวกันของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย และได้ตรวจสอบงบดุล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 และ 2550 และงบกำไรขาดทุน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงในส่วนของผู้ถือหุ้น และงบกระแสเงินสดสำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันเดียวกันเฉพาะของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) ซึ่งผู้บริหารของกิจการเป็นผู้รับผิดชอบต่อความถูกต้องและครบถ้วนของข้อมูลในงบการเงินเหล่านี้ ส่วนข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบในการแสดงความเห็นต่องบการเงินดังกล่าวจากผลการตรวจสอบของข้าพเจ้า
ยกเว้นที่จะกล่าวในย่อหน้าที่สาม สี่ และห้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชีที่รับรองทั่วไป ซึ่งกำหนดให้ข้าพเจ้าต้องวางแผนและปฏิบัติงานเพื่อให้ได้ความเชื่อมั่นอย่างมีเหตุผลว่า งบการเงินแสดงข้อมูลที่ขัดต่อข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญหรือไม่ การตรวจสอบรวมถึงการใช้วิธีการทดสอบหลักฐานประกอบรายการ ทั้งที่เป็นจำนวนเงินและการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงิน การประเมินความเหมาะสมของหลักการบัญชีที่กิจการใช้ และประมาณการเกี่ยวกับรายการทางการเงินที่เป็นสาระสำคัญซึ่งผู้บริหารเป็นผู้จัดทำขึ้น ตลอดจนการประเมินถึงความเหมาะสมของการแสดงรายการที่นำเสนอในงบการเงินโดยรวม ข้าพเจ้าเชื่อว่าการตรวจสอบดังกล่าวให้ข้อสรุปที่เป็นเกณฑ์อย่างเหมาะสมในการแสดงความเห็นของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าได้รับหนังสือยืนยันยอดจากธนาคารและสถาบันการเงินเกี่ยวกับยอดหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้คงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 ปรากฏว่ามีผลแตกต่างจากยอดคงเหลือตามบัญชีของเงินกู้ยืมและดอกเบี้ยค้างจ่ายเป็นจำนวน 2,950 ล้านบาท นอกจากนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้รับหนังสือยืนยันยอดเงินต้นและดอกเบี้ยค้างจ่ายซึ่งมียอดคงเหลือตามบัญชีจำนวน 90 ล้านบาท และ 395 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ผู้บริหารแจ้งว่าผลแตกต่างส่วนใหญ่เป็นดอกเบี้ยแขวนซึ่งบริษัทรับรู้เป็นรายได้จากการปรับปรุงหนี้สินตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้เมื่อมีการลงนามในสัญญาในปี 2544 และ 2548 ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไปของไทย แต่ธนาคารเจ้าหนี้ยังคงจดบันทึกช่วยจำเป็นดอกเบี้ยค้างรับจากบริษัท รอจนกว่าบริษัทจะชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ครบถ้วน นอกจากนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมียอดเงินกู้ยืมและหนี้สินจากการปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 ซึ่งมียอดคงเหลือตามบัญชีบางส่วนจำนวนประมาณ 569 ล้านบาท ที่เจ้าหนี้ยังไม่ได้ตอบยืนยันความถูกต้องของยอดคงเหลือดังกล่าวมายังข้าพเจ้า ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่สามารถใช้วิธีการตรวจสอบอื่นให้เป็นที่พอใจในผลแตกต่างตามที่ธนาคารและสถาบันการเงินเจ้าหนี้ตอบยืนยันยอดข้างต้น และในความถูกต้องครบถ้วนของยอดเงินกู้ยืมและหนี้สินที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้นได้
ตามที่เปิดเผยไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน 6 บริษัทมีเงินให้กู้ยืมและเงินทดรองและเงินมัดจำค่าซื้อที่ดินกับบริษัทย่อยเป็นจำนวนมาก บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อหนี้สูญสำหรับรายการดังกล่าว ซึ่งโดยปกติจะตั้งค่าเผื่อไว้ในบัญชีภายหลัง 1 ปีที่เกิดรายการ ทั้งนี้ตามที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุนเฉพาะของบริษัท สำหรับปี 2551 และ 2550 บริษัทมีค่าเผื่อหนี้สูญจำนวน 179 ล้านบาท และ 402 ล้านบาท ตามลำดับ การตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญดังกล่าว อาจจะพิจารณาได้ว่าถือตามหลักความระมัดระวัง แต่อาจไม่เหมาะสมในการจัดทำงบการเงินตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปเมื่อไม่ได้มีการติดตามทวงถามหนี้อย่างเหมาะสม ข้าพเจ้าไม่อาจพิจารณาได้ว่าค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่
ตามที่เปิดเผยไว้ในหมายเหตุประกอบงบการเงิน 17 ในระหว่างปี 2551 บริษัทได้ว่าจ้างผู้ประเมินราคาทรัพย์สินอิสระทำการประเมินมูลค่าสิทธิการเช่าโดยเลือกใช้วิธีพิจารณาจากรายได้ (Income approach) โดยคำนวณมูลค่าจากรายได้โดยประมาณคิดลดเป็นมูลค่าปัจจุบันแล้วพบว่ามูลค่าของสิทธิการเช่าสำหรับระยะเวลาเช่าคงเหลือ 28 ปี มีมูลค่าประมาณ 87 ล้านบาท บริษัทจึงปรับมูลค่าสิทธิการเช่าตามบัญชีลดลงจำนวน 31 ล้านบาท ให้เหลือเท่ากับราคาประเมินดังกล่าว อย่างไรก็ตามตามที่ปรากฏเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก ณ ปัจจุบันและประสบการณ์ที่บริษัทย่อยมีผลขาดทุนจากการใช้สิทธิการเช่าดังกล่าวดำเนินงานที่ผ่านมา ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถตรวจสอบให้เป็นที่พอใจได้ว่าการคำนวณประมาณการกระแสเงินสดคิดลดดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่
ข้าพเจ้าเห็นว่า ยกเว้นผลของรายการปรับปรุงต่องบการเงินที่อาจจำเป็น ถ้าข้าพเจ้าตรวจสอบให้เป็นที่พอใจเกี่ยวกับยอดหนี้ค้างชำระธนาคารและสถาบันการเงินสำหรับหนี้สินจากการปรับโครงสร้างหนี้ตามที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่สาม ความเหมาะสมในการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามที่กล่าวในย่อหน้าที่สี่ และความเหมาะสมของประมาณการกระแสเงินสดตามที่กล่าวในย่อหน้าที่ห้า งบการเงินรวมและงบการเงินเฉพาะของบริษัทดังกล่าวข้างต้น แสดงฐานะการเงินรวม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 และ 2550 และผลการดำเนินงานรวม และกระแสเงินสดรวม สำหรับแต่ละปีสิ้นสุด วันเดียวกันของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย และฐานะการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 และ 2550 และผลการดำเนินงาน และกระแสเงินสด สำหรับแต่ละปีสิ้นสุดวันเดียวกันเฉพาะของบริษัท กฤษดา มหานคร จำกัด (มหาชน) โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป
โดยที่ความเห็นของข้าพเจ้ายังคงเดิมต่องบการเงินของบริษัท ข้าพเจ้าขอให้สังเกตข้อมูลที่ได้มีการเปิดเผยไว้ใน หมายเหตุประกอบงบการเงินดังนี้
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน 19 : บริษัทยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อชำระหนี้ซึ่งได้มีการตกลงร่วมกันระหว่างบริษัทและเจ้าหนี้ตามสัญญาโอนทรัพย์ชำระหนี้ที่ทำไว้กับธนาคารแห่งหนึ่งและสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ซึ่งมียอดคงเหลือ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 เป็นจำนวนเงินรวม 768 ล้านบาท บริษัทได้บันทึกตัดบัญชีหนี้สินกับต้นทุนของที่ดินตามที่ตกลงกัน และรับรู้กำไร/ขาดทุนจากการตีทรัพย์ชำระหนี้ไว้ในบัญชีแล้วตั้งแต่ปี 2544 และ 2548 ผู้บริหารเชื่อว่าการโอนที่ดินล่าช้าจะไม่เป็นเงื่อนไขให้ถือว่าผิดสัญญาชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ให้ชะลอการโอนเพื่อรอรับสิทธิที่จะเสียค่าโอนที่ดินลดลงจากประกาศของรัฐบาล
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 บริษัทผิดนัดชำระเงินต้นที่ครบกำหนดชำระตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้เป็นจำนวนรวม 219 ล้านบาท บริษัทยังคงไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นบางประการตามที่ระบุในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อขอขยายระยะเวลาการชำระหนี้และผ่อนปรนการผิดเงื่อนไขตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว นอกจากนั้นบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเพื่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งรวมถึงการลดหนี้ การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ และการผ่อนผันการปฏิบัติตามเงื่อนไขอื่นบางประการ อย่างไรก็ตาม เพื่อปฏิบัติตามแม่บทการบัญชีเรื่องความระมัดระวัง บริษัทได้จัดประเภทเงินกู้ยืมดังกล่าวทั้งหมดเป็นหนี้สินที่ถึงกำหนดชำระภายในหนึ่งปี เนื่องจากภายใต้สัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกเงินกู้ยืมคืนทั้งจำนวนได้ทันที
- หมายเหตุประกอบงบการเงิน 11 และ 27 : ในระหว่างปี บริษัทย่อยแห่งหนึ่งได้รับแจ้งจากธนาคารเจ้าหนี้ว่าภาระหนี้สินที่เคยเรียกร้องจากบริษัทย่อยจำนวนประมาณ 21.49 ล้านบาท ซึ่งบริษัทย่อยได้ตั้งค้างจ่ายไว้ในบัญชีในปี 2549 นั้นได้รับการชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว โดยผู้บริหารแจ้งว่าเป็นการชำระหนี้จากบุคคลภายนอกในระหว่างไตรมาสที่ 1 และบริษัทย่อยดังกล่าว ไม่มีภาระผูกพันต่อธนาคารและต่อผู้ที่ชำระหนี้จำนวนดังกล่าวอีกต่อไป นอกจากนี้ ในระหว่างปี 2550 ถึงไตรมาสที่ 1 ในปี 2551 บริษัทได้รับคืนเงินค่าลงทุนในกิจการร่วมค้าโดยครบถ้วน ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งค่าเผื่อขาดทุนไว้ในบัญชีในปี 2549 เป็นจำนวน 10 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทย่อยและบริษัทจึงได้ตัดบัญชีหนี้สินจำนวน 21.49 ล้านบาท และโอนกลับค่าเผื่อขาดทุนในเงินลงทุนในกิจการร่วมค้าจำนวน 10 ล้านบาท เป็นรายได้สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551
นายสมคิด เตียตระกูล
ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
ทะเบียนเลขที่ 2785
กรุงเทพมหานคร
27 กุมภาพันธ์ 2552
แหล่งอ้างอิงนี้ เปิดเผยต่อสาธารณชน สามารถเข้าไป Seargh บริษัทอื่นมาดูได้
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin2/cgi-bin/findFS.php?lang=t&ref_id=74&content_id=1