WHO ?

หลวงปู่ขาวเล่าเรื่องช้างเผือกให้ฟัง

เมื่อเสร็จธุระจากกฐินวัดป่าหนองแซงแล้ว ก็ได้กลับไปวัดถ้ำกลองเพล ได้พูดคุยธรรมกับหลวงปู่ตามปกติในวันหนึ่งได้อยู่กับหลวงปู่สององค์ หลวงปู่ได้ถามข้าพเจ้าว่า

“ทูล เคยนิมิตว่าได้ขี่ช้างเผือกไหม”

ขอโอกาสหลวงปู่ กระผมเคยนิมิตว่าได้ขี่ช้างเผือกครั้งหนึ่ง หลวงปู่พูดว่า

“ขี่อย่างไร เล่าให้เฮาฟังซิ”

ก็ขอโอกาสเล่าให้หลวงปู่ฟังดังนี้ ในคืนหนึ่งเมื่อเข้าสมาธิได้ที่แล้ว ในโลกนี้มีความสว่างเห็นไปหมดทุกที่ มองขึ้นไปบนอากาศก็มีความสว่างไสวเช่นกัน ในขณะนั้นเห็นหลวงปู่มั่นนั่งอยู่บนหลังช้างเผือกขนาดใหญ่ และมีครูอาจารย์องค์อื่นๆนั่งอยู่บนหลังช้างเผือกยืนเรียงแถวกันอยู่หลายองค์ จากนั้นช้างเผือกที่หลวงปู่มั่นนั่งอยู่ก็ลอยขึ้นสู่อากาศ และช้างเผือกตัวอื่นๆก็พาครูอาจารย์ลอยขึ้นสู่อากาศเช่นกัน จากนั้นก็มาถึงตัวช้างเผือกที่กระผมนั่งอยู่ก็ได้ลอยขึ้นไปตามช้างเผือกกลุ่มใหญ่ ได้ลอยอยู่บนอากาศเป็นวงกลม ช้างเผือกแต่ละตัวมีการประดับประดา ด้วยเครื่องเพชรนิลจินดา ประดับด้วยผ้าสีทองที่มีความสวยงามมาก ในท้องฟ้าอากาศมีรัศมีระยิบระยับแพรวพราว สว่างเต็มท้องฟ้าไปหมด แล้วมีเสียงประกาศว่า

“นี้เป็นกลุ่มคณะช้างเผือก ที่หลวงปู่มั่นได้พาหมู่คณะไปสู่พระบรมสุข คือ วิมุตตินิพพานในกาลครั้งนี้”

จากนั้นจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ ก็ได้พิจรณาว่า เป็นเรื่องปกติี่ที่ผู้ปฏิบัติได้มาถึงจุดนี้แล้ว ถือเป็นความสมบูรณ์ เป็นอุดมมงคล เพราะช้างเผือกเป็นช้างทรงของพระราชา จะตีความว่า ราชาธรรมนี้ก็เป็นได้ หมายถึงผู้จบในภาคการศึกษา คือจบในอาตยนะนั่นเอง หรือจะเรียกว่าเป็นผู้ที่เรียนจบในประโยค ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้แล้วอย่างสมบูรณ์

จากนั้นหลวงปู่ขาวเพียงแต่ยิ้มแล้วพูดว่า

“ในสมัยเฮาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นเคยประกาศให้คณะสงฆ์ทั้งหลาย ได้รับรู้ไว้ว่า เมื่อเราได้ตายไปแล้ว จะมีช้างเผือกหนุ่มตัวหนึ่ง เหาะไปมา แสดงอภินิหาร ให้คนทั้งหลายได้รู้เห็นในความสามารถต่างๆ มากมาย พระเถระทั้งหลายได้ฟังแล้ว ก็มีความเข้าใจความหมายว่า ในยุคต่อไป จะมีพระอรหันต์หนุ่มเกิดขึ้น จะได้แสดงความรู้ึความสามารถ เผยแผ่ธรรมให้คนทั้งหลายได้รับรู้ความจริงในสัจธรรม จะมีผู้ปฏิบัติตามได้รับผลมากทีเดียว”

ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ขาวว่า ขอโอกาสหลวงปู่ ช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นเกิดขึ้นหรือยัง หลวงปู่ก็พูดว่า

“เกิดขึ้นแล้ว”

ข้าพเจ้าก็ถามหลวงปู่ต่อไปว่า ช้างเผือกหนุ่มนั้นอยู่ที่ไหน กระผมอยากรู้ อยากไปกราบท่าน หลวงปู่ยิ้มๆแล้วพูดว่า “ไม่บอก หาเอาเองแล้วกัน” เรื่องช้างเผือกหนุ่มนั้น พระอาจารย์วัน อุตฺตโม และพระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ ก็เคยพูดในเรื่องช้างเผือกหนุ่มนี้ให้ข้าพเจ้าฟังเช่นกัน เมื่อถามท่านว่าเป็นอาจารย์องค์ใด ท่านก็ไม่บอกเช่นกัน

 

หากมีคำถามข้าพเจ้าว่า ช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นเกิดขึ้นหรือยัง ข้าพเจ้าก็จะตอบว่าเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าช้างเผือกเชือกนั้นอยู่ที่ไหน หรือท่านอาจจะเห็นอยู่แ่ต่ไม่รู้ว่าเป็นช้างเผือก เพราะช้างเผือกนั้นอาจใช้สีดำทาเพื่ออำพรางตัวเอาไว้จึงไม่มีใครรู้ ขอให้พวกเราค้นหาช้างเผือกหนุ่มนั้นให้พบ เมื่อพบแล้ว กรุณามาบอกข้าพเจ้าก็แล้วกัน เพื่อจะได้ไปกราบคารวะและฟังธรรมจากช้างเผือกหนุ่มเชือกนั้นให้สมใจ การทำนายของหลวงปู่มั่นนั้น หลวงปู่ขาวพูดว่า “มีความแม่นยำมาก พูดคำใดคำนั้น เพราะหลวงปู่มั่นมีความชำนาญด้วยญาณ อตีตังสญาณ ท่านรู้ในเรื่องอดีตที่ผ่านมาแล้ว อนาคตังสญาณ ท่านรู้ในเรื่องอนาคต”

อภินิหาร ๓ อย่าง

ที่หลวงปู่มั่นว่าช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หลายคนอาจตีความหมาย ไม่ตรงตามหลวงปู่มั่นก็อาจเป็นได้ เพราะคนส่วนใหญ่ได้อ่านในตำรา หรือได้ฟังจากครูอาจารย์มามากว่า อภินิหารต้องเป็นผู้มีฤทธิ์ สามารถดำดินเหาะเหินไปบนอากาศได้ เช่นได้อ่านเรื่องอภิญญา มีจักขุญาณ มีญาณทางตาที่เรียกว่าตาทิพย์ กำหนดจิตให้เห็นรูปเทวดา นรก และสิ่งอื่นๆได้ โสตญาณ มีญาณทางหู เรียกว่าหูทิพย์ กำหนดจิตฟังเสียงในหมู่เทวดาและสัตว์นรก และกำหนดฟังเสียงอื่นๆได้ เจโตปริยญาณ เป็นญาณรู้ทางใจ กำหนดจิตรู้ในความคิดความเห็นของคนอื่นได้ มโนมอิทธิญาณ เป็นฤทธิ์ทางใจ กำหนดจิตให้เป็นนั่นเป็นนี่ หรือเป็นหลายคนได้ อิืทธิวิธี เป็นอภินิหารทางใจ สามารถเหาะเหินไปมาที่ไหนได้ คนส่วนใหญ่จะมาเข้าใจว่า อภินิหารต้องเป็นอย่างนี้

ในความหมายของหลวงปู่มั่น ว่าช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หมายถึงอภินิหาร ๓ อย่าง

  1. อิทธิปาฏิหารย์ แสดงฤทธิ์ได้นานาประการ
  2. อาเทสนาปาฏิหารย์ มีญาณรู้วาระจิตคนอื่น แล้วพูดดักใจคนอื่นได้
  3. อนุสาสนีปาฏิหารย์ มีความสามารถแสดงธรรมได้อย่างมีเหตุผล ทำให้คนที่ฟังเข้าใจในความหมายได้อธิบายธรรมหมวดที่คนเข้าใจได้ยาก มาอธิบายให้คนเข้าใจง่าย อธิบายธรรมหมวดยาว สามารถย่นย่อธรรมที่ยาว มาอธิบายโดยย่อให้คนเข้าใจได้
อภินิหาร ๓ ข้อนี้ ข้อ ๑ ข้อ ๒ ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ แต่พระุพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ แต่พระพุทธเจ้ามาสรรเสริญ อนุสาสนีปาฏิหารย์ ในข้อ ๓ เพราะเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและมรรคผลนิพพาน ฉะนั้นหลวงปู่มั่นว่ามีช้างเผือกหนุ่มมีอภินิหารนั้น หมายถึง อนุสาสนีปาฏิหารย์ เป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรม ให้เป็นไปในคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้อง ทำให้คนมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ตามแนวทางที่เป็นจริง แสดงธรรมให้คนเข้าใจในอุบายการปฏิบัติ เพื่อเป็นไปในมรรคผลนิพพาน หลวงปู่มั่นมีความหมายเป็นอย่างนี้ ขอให้พวกเราได้เข้าใจ เพื่อจะได้ค้นหาช้างเผือกหนุ่มได้ง่ายขึ้น มิใช่ว่าคอยไปดู เมื่อไรหนอท่านจะเหาะขึ้นสู่อากาศ เมื่ิอไหร่หนอท่านจะดำดินและหายตัวให้ดู ถ้าจะหาในวิธีนี้ รับรองได้ว่า จะไม่พบช้างเผือกหนุ่มอย่างแน่นอน เพราะตีความหมายในอภินิหารผิดไป จึงทำความเข้าใจแก่ท่านดังนี้

 

_/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__/|\__

ข้อความที่ผมกล่างอ้างข้างบนเป็นส่วนหนึ่งของอัตโนประวัติของหลวงพ่อทูลฯ บทที่ ๒๑ เรื่องของนรกสวรรค์ ซึ่งมาจากhttp://www.watsanfran.com/autobio/ch021.html ซึ่งใน pdf file ตั้งแต่หน้าที่ 13-15 หรือที่เป็น audio file ตั้งแต่นาทีที่ 43:08

 

ว่าด้วยคำทำนายเกี่ยวกับบ้านเมือง

เมื่อศตวรรษโลกจักได้เสื่อม พระศาสนา มีราชาองค์น้อยหายใจบ่ทั่วท้อง เข้ามาเชิดชู คนจักมรณาม้วน สูญพันธ์เมิดเผ่า พระเจ้าอุบัติเกิดขึ้นแล้ว เมืองนั้นเปลี่ยนแปลง เมืองเหนือหากสิขึ้น เมืองกลางหากปั่นป่วน ทาง ในเกิดเดือดร้อนหวังฆ่าแต่กัน ต่อจากพระวรรษา ๒๕๕๐ นี้ พระยาสิเริ่มใหญ่ เมืองนั้นกะสิ ได้เปลี่ยนแปลง มีขาวมีดำ สมกันเกิดโลกใหม่ ยุคศิวิไล พระสีส้มโยมสีเหลืองเมิดหมู่ โห่โห่ก้องขึ้นสู่สุวรรณภูมิ คงความเห็น ดั่งเดียวคำย้อง พุทธองค์ลงมาโปรด ดูราโลกใหม่ คนโฮมไหลหลั่งเต้า มาเผ้า (เฝ้า) ต่อพระองค์ จักกล่าวเรื่องไว้ให้พอเป็นสังเขป มีเสนาทั้งเจ็ดอยู่วังมาตุ้ม พระยามู แลมะตู วือว็อด อองค็อย องกา เสนา อ็องกุด 

(หลังจากพ้นกึ่งพุทธกาลไปแล้ว โลกเสื่อมโทรมลงมาก หมายถึงทุกๆด้านรวมทั้งจิตใจมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรม ด้วยการเบียดเบียนธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ได้คำนึงว่าธรรมชาติเป็นแม่บังเกิดเกล้า เกิดมาแล้วสร้างเทคโนโลยี่เอาชนะธรรมชาติ คิดว่าลูกต้องเก่งกว่าแม่ พากันลืมตัวเสมือนเป็นวัวลืมตีน มีความหลงผิดเป็นมิจฉาทิฐิ ส่วนพระพุทธศาสนาก็กระทบไปด้วย

จึงเกิดพระราชาองค์น้อย ขึ้นมาเชิดชูส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่ในช่วงระยะเวลานี้ ผู้คนจะล้มตายพากันสูญเผ่าพันธุ์มนุษย์ นั่นหมายถึงถูกธรรมชาติร่อนตะแกรงกรรม นำเอาคนที่มีเซลล์ในร่างกายสีดำ หรือจิตใจมืดบอดขาดศีลและธรรม ต้องตายไปสิ้น ไม่สามารถข้ามแดนไปสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ได้ และพระพุทธเจ้าจะกลับมาอุบัติขึ้นใหม่ ในมิติใหม่ในยุคชาวศิวิไลซ์ นับแต่ พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป โดยอาศัยพระสรีระธาตุและหลักฐานต่างๆ ที่พระพุทธองค์ได้มาเตรียมไว้ด้วยพระองค์เอง เมื่อยังทรงมีพระชนมายุ 50 และ 57 พระพรรษา มาเป็นเครื่องหมาย

และพระองค์ได้ทรงโปรแกรมจิต ใส่พลังงานแห่งความสำเร็จในคุณธรรมทั้งทางโลกและธรรม เอาไว้ให้แก่ลูกหลานในวัตถุธรรมต่างๆ ที่แปลคำปริศนาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้ให้เข้าใจ นั่นคือความหมายของพระพุทธเจ้าอุบัติเกิดขึ้นแล้ว บ้านเมืองสุวรรณภูมิก็จะเปลี่ยนแปลง เมืองเหนือขึ้น หมายถึงเจริญงอกงามด้วยรากฐานของผู้ที่มีจิตมั่นคงในศีลธรรม ตั้งอยู่บนนิจศีลนั่นเอง ส่วนภาคกลางประสบภาวะปั่นป่วนในทุกๆเรื่อง แม้การรบราฆ่าฟันเอาชีวิตกัน

หลังจาก พ.ศ. 2550 พระยาธรรม ที่เกิดขึ้น ..นั่นคือหลวงพ่อภรังสี ลูกศิษย์ของหลวงปู่มหาโมคคัลลานะ เริ่มเป็นที่รู้จักของมหาชน ประเทศชาติซึ่งมีทั้งขาวและดำคือมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน ต้องเปลี่ยนแปลงตามภาวะการณ์ปรับเปลี่ยนย้ายแกนโลกของธรรมชาติ ที่จะเกิดขึ้นปลายปี 2555 เป็นต้นไป ผู้ที่ขาดนิจศีลรองรับจิตใจย่อมขาดภูมิคุ้มกัน จึงรอดได้ยาก ไปสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ ซึ่งจะเหลือแต่พระภิกษุผู้ทรงคุณธรรมแท้หมายถึงสีส้ม ส่วนโยมสีเหลืองนั้นคือผู้ที่ตั้งอยู่บนนิจศีลหรือสีเหลืองด้วยน้ำใจเมตตา ซึ่งแทนด้วยคลื่นรังสีสีเหลืองอยู่กันเป็นหมู่เหล่า

พากันเฉลิมฉลองเทิดทูลพระพุทธศาสนา ให้ก้องท้องธาราขึ้นทั่วทั้งแดนสุวรรณภูมิ เป็นธงชัยของชาวโลก ต่างมีคติธรรมประจำใจในสัมมาทิฐิกันทั่วหน้า อันหมายถึงพวกที่มีเซลล์สีดำในร่างกาย ไม่สามารถหลุดรอดจากตะแกรงกรรมมาได้นั่นเอง และพระพุทธองค์ก็ได้มาเปิดศาสนาพุทธในยุคใหม่มิติใหม่ ขึ้นที่ วัดภูพะลานสูง มีผู้คนหลั่งไหลมากราบบูชามากมาย และยังมีเจ้าพระยาผู้สูงศักดิ์ต่างๆ พากันมากราบไหว้เคารพบูชา ที่กล่าวไว้เพียงสังเขป คงมีรายละเอียดเกิดขึ้นอีกมาก ที่สาธุชนค่อยๆติดตามต่อไปในช่วงชีวิตของตนที่เหลืออยู่)

ว่าด้วยเรื่องการอัญเชิญและสงครามแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ

เมืองพม่า จักได้กล่าวถึงพระอิศเรศหงสา ในคั้งพระวรรษาที่ ๑๓ อยู่ที่นั้นอีก ๑ ปี มีศึกมาต้าน จักปล้น เอาพระธาตุอีก เทวจักรฟ้าว(รีบ)รวมอิทธิฤทธิ์เหาะเหินข้ามนทีคงคา ดังเสมือนไปถงสิบสองปันนา งอยฝั่งเลย หยุดยั้งอยู่ก้ำฝั่งไทยครั้งเนาอยู่ฮั่น ๖ เดือน เตือนประชากรทั้งหลาย มาสร้างโพนเนาเจดีย์ไว้ แมงเงาเฝ้า เจดีย์ได้หลายโต ๙ หมู่ข้าปูทางไว้ ทางก้ำฝั่งไทย จักย้ายเข้าสู่มอญขาวชาวนครชื่นชมมาต้อน ขอมดำดิน จักถวายปราสาทให้ เป็นที่รองรับ เทวจักรนำพระองค์ตั้ง ถวายให้แก่ขอมจักได้ว่าขึ้นอยู่ ๑๖ ปี มีราชา หลายเมือง โห่กันมาแย่ง เทวจักรได้เหาะเหินขึ้นส่ง ลงกลางดงปราสาทกว้าง หวังซ่อนพุทธองค์

เทวยักษา ตนหนึ่งยังกะเลวต่อต้านหวังสู้บ่ถอย เทวจักรจึงได้อ่อยๆแถลงความเฮาบุญมา เถิงบ่ตอบขาบ สองตาบข้าง องค์เอกสัพพัญญู ข้างว้ายองค์อังคาร ข้างขวาพระสารีริกธาตุ อสูรเจ้าหลงมัวทำบาปใหญ่ หัวเข่าตั้งลง กราบไหว้พนม โอนอท่านมีชื่อนามใด๋ โปดอภัยขอถามเรื่องราวพายซ้อย นามกรข้ายักษาโตหนึ่ง เขาทอบ กระดูก ไว้ เขาให้ฮักษา เฮานี้ได้ชื่อว่าเทวจักร มือกำคอยักษ์ ฮูบทะยานขึ้นบนฟ้า เลยอัดเข้า ปายเจดีย์ ยอดแก้ว แล้วจึงเหาะดุ่งผ้าย ไปก้ำฝ่ายขอม สงครามได้ ตีเมืองแตกพ่าย แหวกประตูผ่าม้าง เขานั้นข่มขอม ขอมกะยอมเมิดแล้ว พระยาเมืองต้านใส่ ถามว่าไสพระบรมสารีริกธาตุ ของค้ำคูณเมืองที่อยู่เนานำเจ้า เฮาสิมาขอสู้ ตีเอาส่วนแบ่ง พระยาแนมพระเนตรขึ้น องค์เจ้าพระประธาน ราชาแย่งขึ้นแบก องค์พระธาตุอยู่นี้ ชิงได้กะสิถอย นี่คือสงครามแย่งพระธาตุ

(พระมหาเทวจักร ได้เข้ารับพระบรมสารีริกธาตุ กระดูกข้อพระหัตถ์ขวา และพระสรีรังคาร ได้ผ่านมาแวะพักที่เมืองหงสาวดี เป็นแห่งแรก และเจ้าผู้ครองนครหงศาฯได้ทูลขอพระบรมธาตุเอาไว้ 1 องค์ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระนอน เมืองร่างกุ้งในปัจจุบัน ต่อมาอีก 1 ปีมีการต่อสู้รบแย่งชิงพระบรมธาตุเกิดขึ้น พระมหาเทวจักรจึงพาพระบรมธาตุ เหาะข้ามแม่น้ำไปเมืองสิบสองปันนา ตอนเหนือของสุวรรณภูมิ อยู่ที่นั่นได้ 6 เดือน โดยพระมหาเทวจักรได้ชักชวนชาวบ้านผู้มีจิตศรัทธา สร้างพระเจดีย์บรรจุพระบรมธาตุเอาไว้กราบไหว้ มีแมลงป่องยักษ์ทั้ง 9 คอยเฝ้าอารักขา แล้วพระมหาเทวจักรก็ได้เดินทางต่อมาเข้าในเมืองเชียงราย ที่บ้านเชียงแสน

ที่นี่พระมมหาเทวจักรเปลี่ยนวิธีการ โดยเชิญบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายมาประชุมพร้อมกัน เป็นที่ตกลงกันว่าเมืองใดสร้างสถานที่รองรับพระบรมธาตุได้สมพระเกียรติเสร็จก่อน จะนำพระบรมธาตุไปมอบให้ที่เมืองนั้น เมื่อตกลงหลักการกันได้แล้ว ก็มีเจ้าเมืองขอมเสนอขึ้นว่า ปราสาทสถานที่ใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จมีอยู่พร้อมแล้วที่นครจำปาศรี ผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหมดจึงไปตรวจเยี่ยมปราสาทนั้นพร้อมกัน และลงความเห็นว่าเป็นการสมควรที่จะนำพระบรมธาตุมาบรรจุเอาไว้ที่นี่

อยู่มาได้ 16 ปี ก็เกิดการรบพุ่งทำสงครามแย่งชิงพระบรมธาตุเกิดขึ้นอีก พระมหาเทวจักรจึงพาพระบรมธาตุเหาะหนีเข้าป่า ไปถึงเทวสถานเจดีย์ของพราหมณ์ ไปพบเทวยักษ์ที่เฝ้าอารักขาสถานที่อยู่ที่นั่น เมื่อพระมหาเทวจักรบอกอานิสงส์แห่งบุญกุศลที่เทวยักษ์จะได้รับ จึงได้นำพระบรมธาตุบรรจุไว้ที่ส่วนยอดของพระเจดีย์ และอยู่ที่นั่นมา 2,500 กว่าปี โดยไม่มีมนุษย์ผู้ใดรู้เรื่องพระบรมธาตุของพระพุทธองค์บนยอดอีกเลย

นอกจากพระมหาเทวจักรได้สั่งการให้เทวยักษ์อารักขาพระบรมธาตุแล้ว ยังให้ออกตามหาพระยาธรรม ผู้ซึ่งจะมาจุติหลังกึ่งพุทธกาลให้อีกด้วย ท่านผู้นี้จะมารองรับพระพุทธศานต่อจาก ท่านพระมหาเทวจักรสร้างวัดขึ้นในแดนสุววรณภูมิ ที่ภูพลานสูงสืบพระศานาต่อไปจนครบ 5,000 ปี ส่งเสริมให้เกิดพระอริยเจ้า ที่อุดมไปด้วยอภิญญาฤทธิ์เช่นในต้นพุทธกาล อีก 700,000 รูป)

ว่าด้วยเรื่องพระเทวจักรนิพพาน

เทวจักรนั่นหายใจลำบาก เล็งญาณสังสิยากต่อไป สงครามแย่งบ่อแม่นดินแดนหากแต่เป็นศรัทธาหลายเล็ง ดูแล้ว ใจหมายมั่นทุกข์คน จึงได้ขอบันดลให้สงครามแตกผ่าย แสนดีใจทุกก้ำ จากหั่นได้สงครามเงียบหนตนก็ได้ บำเพ็ญพระวัสสาจากลาสังขารสู่นิพพานหมดสิ้น

(เมื่อพระมหาเทวจักแก่เฒ่า ..หายใจลำบาก ได้ใช้ญาณทัสสนะ และสันตติตรวจสอบว่าการเกิดสงครามแย่งชิงกันนั้น เจ้าเมืองต่างๆไม่ได้มุ่งหวังมีอำนาจครองเมืองข้าศึกแต่อย่างใด เป้าหมายคือต้องการพระบรมธาตุ พระองค์ท่านจึงแผ่เมตตาให้เจ้าเมืองเหล่านั้นมาปรองดองกัน แล้วแบ่งพระบรมธาตุไปบูชากันส่วนหนึ่ง ทุกฝ่ายก็ต่างปิติยินดี ดีใจเลิกรบราฆ่าฟันกัน แสดงให้เห็นว่าเจ้าเมืองเหล่านี้ยังเป็นผู้มีปัญญาและคุณธรรมพอสมควร จึงได้พูดกันรู้เรื่องดี เรื่องจึงจบลงด้วยความสันติ พระมหาเทวจักรจึงได้เฝ้ารักษาจิตตนอยู่บน ‘ทาง’ เข้าสู่นิพพานในที่สุด)

ว่าด้วยผูกพระโมคคัลานะ

โมคคัลลานะด้นนำตนสืบต่อพระวัสสาสู่มื้อสังสิส่วยแต่กะ ยัง พุทธองค์ทรงสานต่อได้ถึงเกือบ หกร้อยพระวัสสา เกือบซาวพันปีต่อไปภายหน้า ไผผู้เล็งเห็นแล้วให้จุบเอาให้มันทั่วอิติ เกิดขึ้นแล้วจุบให้ฮุ่งเจริญ ในศตวรรษสองพัน

(หลวงปู่มหาโมคคัลลานะ พระมหาสาวกเบื้องซ้าย ได้ทรงช่วยสืบต่อพระพุทธศาสนามาต่อเนื่อง หลังจากพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้วอีก 600 ปี และยังมีภารกิจช่วยสืบต่อพระศาสนาอีกช่วงหนึ่ง ภายหลังที่พระพุทธองค์มาอุบัติครั้งใหม่หลังกึ่งพุทธกาล โดยหลวงปู่มาคอยหลวงพ่อภรังสี ที่บวชเป็นภิกษุยังไม่ครบ 10 พรรษา ซึ่งหลวงปู่ใหญ่ก็ได้เฝ้าคอยเวลาอยู่ที่เมืองบาดาล จนหลวงพ่อภรังสีบวชได้ครบ 10 พรรษา แล้วจึงได้ให้พบ และรับเป็นศิษย์

ช่วยกันสืบต่ออายุพระศาสนา ที่มากด้วยอภิญญาฤทธิ์ และเป็นภารหน้าที่โดยตรงของหลวงปู่ใหญ่ ในฐานะพระอริยะสาวกเบื้องซ้ายผู้รุ่งเรืองด้วยอภิญญา 6 มาช่วยเพาะเชื้อเหล่าพระสาวกรุ่นใหม่ ในยุคชาวศิวิไลซ์ หลังจาก พ.ศ. 2550 นี้เป็นต้นไป ให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่ง เกิดพระอริยะเจ้ารุ่นใหม่อีก 700,000 รูป คล้ายในคราวต้นพุทธกาล โดยมีพระสรีระธาตุต่างๆของพระพุทธองค์มาเป็นองค์ประธานฟื้นฟูพระศาสนาขึ้นใหม่ไปตลอด 5,000 ปี จวบสิ้นพระศาสนาของพระพุทธองค์สมณโคดม)

จบคำแปลพระคัมภีร์

ที่มา http://ainews1.com/article310_a.html

 

ตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว

เรื่องในตำนานเมืองฝางและอ่างสลุงเชียงดาว มี ๓ ตอน โดยแต่ละตอนจบในตัวเอง

ตอนที่ ๓ กล่าวพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปที่ถ้ำเชียงดาว ทำนายว่ายักษ์ที่รักษาถ้ำจะได้เป็น พระยาธัมมิกราช องค์ที่ ๓ มีอายุ ๒๐๐ ปี โดยองค์แรกเกิดที่เมืองปาฏลีบุตร องค์ที่ ๒ เกิดในเมืองหงสาวดี องค์ที่ ๓ เกิดในเมืองเชียงดาว องค์ที่ ๔ เกิดในเมืองอังวะ องค์ที ๕ เกิดในเมืองอโยธิยาและได้กล่าวถึงพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วก็นำเอาพระบรมสารีริกธาตุมาไว้ที่ดอย อ่างสลุงก็เลยได้ชื่อว่า อ่างสลุงเชียงดาว มีพระยาอินทร์ เทวดา มาเนรมิตมหาเจดีย์ทองคำไว้บรรจุพระธาตุ ต่อจากนั้นก็มีพระยาอินทร์ พระยาพรหม พระยานาค มาสร้างพระพุทธรูปทองคำองค์ใหญ่ไว้ในถ้ำ ประดับตกแต่งไว้สวยงาม ในถ้ำแห่งนี้มีทางแวะไปสถานที่ต่างๆ ได้ หลายแห่ง และได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติเมื่อจะเข้าไปชมถ้ำตามที่ต่างๆ ซึ่งหากปฏิบัติไม่ถูกก็จะกลับออกมาไม่ได้

ส่วนในเมืองเชียงใหม่ เมื่อศาสนาใกล้จะถึงสามพันปี(พ.ศ.2500-พ.ศ.3000) บ้านเมืองจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย หาเชื้อพระวงค์ที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองมิได้ ในเวลาต่อมายักษ์ที่รักษาถ้ำเชียงดาวอยู่นั้นจะเกิดมาเป็น พระยาธัมมิกราช โดยเกิดมาเป็นพ่อค้าข้าวสาร พระอินทร์จะมาอัญเชิญขึ้นไปทำพิธีราชาภิเษกบนสวรรค์ จากนั้นจึงลงมาทำพิธีอีกครั้งหนึ่งในเมืองเชียงดาว ส่วนศรีอาริยวงศ์กลางศาสนา (จากบันทึกทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน)

เมื่อพระศรีอาริย์มาปรากฏเป็นพระบรมจักรพัตราธิราช ในท่ามกลางพระพุทธศาสนานี้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้าประกาศิตให้เทวดาลงมารักษาพระราชวังถึง 50,000 องค์ ยักษ์อีก 50,000 ตน นาคและครุฑก็จะเป็นมิตรกัน และจะมารักษาปราสาทราชวังด้วยเป็นจำนวนมาก เชื้อพระวงศ์ของพระศรีอาริย์ จะอุปถัมภ์ยกยอพระพุทธศาสนาสืบๆ ต่อกันไปจนอีก 1,309 ปี คือลุ พ.ศ. 3850 ปีเศษ จึงสิ้นเชื้อสายพระศรีอาริย์คนสุดท้ายมีนามว่า “ เสารรัญญา” หรือ “ พยาเสารราช”( ศรีอาริยวงศ์ 1,000 ปี ในเล่มนี้ ไปตรงกับแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งพระเยซูจะกลับมาปกครองโลกอยู่ 1,000 ปีเหมือนกัน เรียกว่า Millennium ภาษาอังกฤษเรียกว่า ศรีอารยะ (Sriaraya) ภาษาบาลีเรียกว่าสิริอริยะ (Siriariya) แม้กระนั้นก็มีเทวดา, นาค, ครุฑ เฝ้าปราสาทราชมณเฑียรอยู่มาก

เมื่อพ้นจากพญาเสารราชไปแล้ว พระเสื้อเมืองทรงเมืองทั้งหลาย ก็ละทิ้งบ้านเมืองหลบหนีเข้าป่าไปหมดสิ้น ดังเช่นในยุคปัจจุบันนี้ เพราะอธรรมทั้ง 3 และ อคติทั้ง 4 เข้าครอบงำสันดานประมุขและรัฐบุรุษ จนบ้านเรือนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มหาภัย 10 ประการ ก็คุกคามประชาชนพลเมืองอยู่ทั่วไป ครั้นแล้วก็จะบังเกิดพญาธรรมิกราชองค์ที่ 4 มายอยกพระพุทธศาสนาอีก และจะเกิดที่นครศรีอยุธยา (กรุงเก่า) จะทรงเกียรติขนาดอโศกราช หาใช่บรมจักรพัตราธิราชดั่งเช่น พระศรีอาริย์ในท่ามกลางพุทธศาสนานี้ไม่

ในตำนานมันดาเลของพม่านั้นกล่าวว่า พระราชวังของพระศรีอาริย์ธรรมิกราชนั้นจะมีประตู 80 ประตู จะมีฝูงเทวดาและยักษ์รักษาแน่นขนัด จะเข้าออกได้แต่มนุษย์ที่มีศีลธรรมอันดีงามเท่านั้น ปราสาทราชวังนั้นจะสว่างรุ่งโรจน์ด้วยแสงแก้วมณีโชติ กลางคืนจะกลับกลายเป็นกลางวัน จะผิดกันก็แต่ว่า ความสว่างของแสงแก้วนั้นจะเย็นตาเย็นกาย ไม่ร้อนระอุเหมือนแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันอย่างธรรมดา

พิษณุเทพบุตร จะไปนำเอาผลมะม่วงกาซอ (ผลไม้โรทันตี) จากสวรรค์มาถวายพระศรีอาริย์ธรรมิกราช เมื่อเสวยแล้วรูปร่างก็กลับกลายเป็นหนุ่มเหมือนอายุ 20 เศษ จะมีพระมหาเถระ 24 รูป เดินทางมาจากทิศต่างๆ เพื่อชมบารมีพระศรีอาริย์ธรรมิกราช พระศรีอาริย์ธรรมิกราชจึงเอามะม่วงกาซอ (มะม่วงลอกคราบ) เข้าถวายพระผู้เฒ่าทั้ง 24 รูป พระผู้เฒ่าทั้งหมดเมื่อฉันแล้วก็ง่วงนอน และหลับไปด้วยความสบาย ครั้นตื่นขึ้นแล้วผิวพรรณก็กลับกลายเป็นหนุ่มไปหมดทั้ง 24 รูป รู้สึกว่ากระกระเปร่าแข็งแรงขึ้นอย่างผิดธรรมดา

พระศรีอาริย์จึงเอาเมล็ดมะม่วงลอกคราบนั้นปลูกลงในดินริมปราสาท ก็พลันงอกงามเป็นต้นเป็นลำและแตกกิ่งก้านสาขาขึ้นในทันที ประกอบด้วยช่อและดอกออกผลเต็มไปหมด โดยไม่ต้องรอเวลาหรือฤดูกาลใดๆ เลย ฝูงมนุษย์ก็จะไหลมาเทมาเพื่อบริโภคมะม่วงลอกคราบอันวิเศษนั้น ครั้นแล้วคนแก่ก็จะกลายเป็นหนุ่ม คนที่มีผิวพรรณไม่งามก็จะงาม คนอ่อนแอก็จะแข็งแรงไปทั่วทุกรูปทุกนาม โลกจะถึงความเป็นสวรรค์ทั้งในด้านผิวพรรณและโภคทรัพย์ ฯลฯ และจะมีต้นไม้กาลปพฤกษ์ทิพย์ถึง 1,600 ต้น (โรงทาน) ทั่วทั้งโลก

อนึ่ง พระมหานครอันบรมสุข จะได้ถูกก่อสร้างตึกรามขึ้น 36,000,000 หลัง จะเป็นที่อยู่ของพลเมืองที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งสิ้น และว่าในยุคนั้น จะมีผู้หญิงมากผู้ชายน้อย เพราะผู้ชายไปตายในกองทัพถึง 3 ใน 4 ส่วน ผลสุดท้ายผู้ชายคนเดียวจะมีภรรยา 9 คน 10 คน ผู้หญิงจึงหาสามีที่โสดๆไม่ได้ง่ายนัก จริงเท็จอยู่กับตำรา (แจ้งอยู่ในใบลาน 3-4 ผูก)

http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81-%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%888-%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AF-302217.html

Leave a comment

Filed under คำพยากรณ์

Leave a comment